[Review] Overwatch 2 ช่วง Beta การกลับมาอีกครั้งของเกมยิงในตำนาน กับการอัปเดตครั้งใหญ่ที่พลิกโฉมเกมเพลย์รูปแบบเดิม
เปิดให้ทดสอบกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับเกมภาคล่าสุดอย่าง Overwatch 2 ภาคต่อของเกมแนว Hero Shooter ในตำนานที่เคยสร้างปรากฎการณ์มาแล้วทั่วโลกนับตั้งแต่ปี 2016 รวมถึงยังเป็นกระแสอย่างมากในวงการเกมบ้านเรา และครั้งนี้เองตัวเกมก็ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกลับการพลิกโฉมรูปแบบของตัวเกมใหม่ให้ยกระดับขึ้นกว่าที่เราเคยได้สัมผัสกันมา และแน่นอนว่าพวกเรา Beyond Godlike นั้นก็ได้รับโอกาสในการเข้าร่วมทดสอบตัวเกมในช่วง PVP Beta ครั้งนี้ด้วย แล้วภาคนี้นั้นจะมีอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง เราไปดูรายละเอียดกันได้เลย!!
สำหรับ Overwatch 2 สิ่งที่ผู้เล่นส่วนใหญ่นั้นน่าจะมีคำถามมากที่สุดก็คงจะไม่พ้นเรื่องของ การอัพเกรดไปยังภาค 2 นั้น จะต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติมจากเดิมหรือไม่? คำตอบก็คือ สำหรับผู้เล่นที่มีตัวเกมในภาคแรกอยู่แล้วไม่จำเป็นจะต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติมเมื่อ Overwatch 2 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และตัวเกมภาคแรกนั้นจะได้รับการอัพเกรดฟรีให้เป็นภาค 2 โดยทันที รวมไปถึงข้อมูลของไอดี สกินตัวละคร รวมถึงไอเท็มทุกอย่างนั้นที่เคยมีอยู่ในภาคแรกก็จะถูกย้ายมาในตัวเกมภาค 2 ทั้งหมดด้วย แต่ทั้งนี้จะมีเงื่อนไขเพิ่มเติมอีกอย่าง นั่นก็คือในตัวเกม Overwatch 2 นั้นจะมีในส่วนของโหมด Co-op PvE ที่เป็นคอนเทนต์พิเศษใหม่ที่มีเฉพาะในภาคนี้ และแน่นอนว่าหากอยากที่จะเล่น เรานั้นจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในส่วนนี้นั่นเอง โดยปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดที่แน่นอนของโหมด Co-op PvE นี้ รวมถึงยังไม่มีการกำหนดราคาการวางจำหน่ายหรือกำหนดการเปิดตัวที่ชัดเจนว่าจะมีการเปิดให้เล่นกันในช่วงเวลาใด
“ตัวเกมภาคแรกกับตัวเกมภาคสองแตกต่างกันขนาดไหน” สำหรับเราที่เริ่มเล่นเกม Overwatch มาตั้งแต่ช่วงเปิดให้เล่นแรกๆ นั้นขอบอกแบบตรงๆ เลยว่า สำหรับ Overwatch 2 นั่นมันคือเกม Overwatch เดิมที่เสมือนกับการได้รับการอัปเดตแพทช์เกมครั้งใหญ่ โดยในส่วนของภายนอกนั้นแทบจะไม่แตกต่างจากเกมเดิม อาจจะมีในส่วนของภาพและกราฟิกที่มีการพัฒนาให้ดูสวยงามและมีความใหม่ขึ้นเล็กน้อย แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงและเห็นได้ชัดจากเดิมนั่นก็คือ “รูปแบบเกมเพลย์และระบบการเล่นต่างๆ ในโหมด PvP” รวมถึงมีการปรับสมดุลของฮีโร่ต่างๆ และมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งและสกิลของบางตัวละครให้แตกต่างไปจากเดิมนั่นเอง
จำนวนผู้เล่นต่อทีมที่ลดลง กำหนดตำแหน่งโรลของผู้เล่นอย่างชัดเจน
สำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เราเห็นได้ชัดเจนในภาคนี้เลยก็คือ การลดจำนวนสมาชิกในทีมลง จากที่ภาคแรกนั้นจะเป็นการต่อสู้แบบ 6v6 แต่ในภาคนี้จะเปลี่ยนการต่อสู้เป็นแบบ 5v5 แทน และยังมีการล็อคโรลหรือบทบาทการเล่นที่มีการแบ่งอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยในภาคนี้จะมีการแบ่งโรลออกเป็น Tank 1 / Damage 2 / Support 2 ซึ่งต้องยอมรับว่าการที่สมาชิกในทีมลดลงนั้นส่งผลต่อการเล่นค่อนข้างเยอะและมันมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่
ในส่วนของข้อดีสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้นั่นก็คือ ทำให้ตัวเกมมีความสนุกมากยิ่งขึ้น และในบางตำแหน่งนั้นก็สามารถเล่นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและสนุกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งตำแหน่งของ Tank ที่ในภาคนี้จะเหลือเพียง 1 คน ซึ่งทำให้ตำแหน่งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับทีม เพราะถือว่าเป็นตัวกำหนดทิศทางการเดินเกมของทีมโดยรวม และทำให้การเลือกตัวละครฮีโร่ในตำแหน่งนี้จึงต้องใช้การพิจารณามากขึ้นกว่าที่เคยเป็น รวมไปถึงตำแหน่งของ Damage ที่มีการกำหนดให้แต่ละทีมมีเพียง 2 คน เท่านั้น ทำให้ฮีโร่ในตำแหน่งนี้สามารถเล่นได้อย่างดีและมีความสนุกมากยิ่งขึ้น หมดปัญหากับการต้องมาเจอเมต้า Tank ทั้งทีมที่กว่าจะยิงทำลายเกราะที่มีมากมายมหาศาลให้พังก็หมดเวลาไปมาก หรือการต้องมานั่งเจอกับเมต้า Support ครึ่งทีมที่ไม่ว่าจะทำความเสียหายมากเพียงใดแต่ละฝั่งก็ไม่มีใครตาย จนกว่าจะตัดสินกันด้วยสกิล Ultimate เพียงอย่างเดียว ซึ่งเมต้าเหล่านี้นั้นเคยพังสังคมในเกมไปแล้วครั้งหนึ่ง และครั้งนี้มันจะถูกแก้ไขด้วยตัวเกมในภาคล่าสุดนี้นั่นเอง
แม้จะมีข้อดีแต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่เช่นกัน เพราะการที่ทีมถูกปรับลดลงเหลือ 5v5 และยังมีการปรับตำแหน่งโรลตัวละครอย่างชัดเจน ทำให้ผู้เล่นในตำแหน่ง Support ที่แม้จะมีอยู่ถึง 2 คนนั้นเล่นได้ยากขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก เหตุผลเพราะ ตัวละครฝั่ง Support ในเกมนั้นมักจะถูกเพ่งเล็งมากเป็นปกติทุกครั้ง การที่มี Tank ที่เคยช่วยเซฟชีวิตของ Support นั้นมีจำนวนลดลงเหลือเพียง 1 คน รวมถึงตำแหน่ง Damage ที่มีอยู่ 2 คนนั้นจะต้องโฟกัสกับหน้าที่ในการทำความเสียหายทีมตรงข้ามมากยิ่งขึ้น ทำให้การยืนตำแหน่งของ Support นั้นทำได้ยาก อีกทั้งยังมีโอกาสสูงมากที่จะถูกโจมตีได้ง่ายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นการเลือกตำแหน่งของ Support จึงต้องพิจารณาถึงตำแหน่งของตัวละครอื่นๆ ในทีม โดยการเล่นตัวละคร Support ที่เก่งและเป็นเมต้าของเกมจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในเกมภาคใหม่นี้ ซึ่งเราต้องมาดูกันต่อไปว่าเมื่อตัวเกมเปิดให้บริการจริงๆ แล้วนั้นทางผู้พัฒนาจะทำการแก้ไขปัญหาในส่วนไปในทิศทางใดให้ไม่ส่งผลกับเกมเพลย์โดยรวม
ทั้งนี้โดยสรุปสำหรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ทำให้ตัวเกม Overwatch 2 มีความสนุกมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก แม้ว่าทีมจะเหลือเพียง 5v5 แต่จังหวะการเล่นต่างๆ นั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกที่เร็วหรือช้าลงไปกว่าเดิมเลย แต่มันกับทำให้เรารู้สึกนึกย้อนไปถึงตอนที่ได้เล่นเกมนี้ในช่วงปีแรกๆ ที่แต่ก่อนนั้นยังไม่มีเมต้าพิสดารมากมายให้ผู้เล่นต้องปวดหัวกัน และการเล่นในแต่ละตำแหน่งนั้นก็ให้ความรู้สึกที่สนุกมากเหมือนกับที่เกมจริงๆ ควรจะเป็น
อินเตอร์เฟซมีความทันสมัย แก้ไข Scoreboard แบบใหม่ดูง่ายขึ้นกว่าเดิม
สำหรับอินเตอร์เฟซในเกม รวมถึงเมนูต่างๆ ใน Overwatch 2 ได้มีการปรับเปลี่ยนให้ดูสะอาดตาและดูทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย และนอกจากนี้สิ่งที่อยากชื่นชมอย่างมากสำหรับภาคนี้นั่นก็คือ Scoreboard ที่ในที่สุดก็ได้ปรับเปลี่ยนให้ดูง่ายมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่แต่ก่อนเราจะเห็นเพียงสถิติของตำแหน่งตัวละครที่ตนเองเล่นเท่านั้น แต่ครั้งนี้เราจะสามารถเห็นสถิติโดยรวมทั้งหมดได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Eliminate (Kill) / Death / Assist และนอกจากนี้ยังมีการบอกถึงสถิติตัวละครแต่ละตัวว่าสามารถทำ Damage ได้เท่าไรและสามารถ Heal ได้เท่าไร และที่สำคัญเลยนั่นก็คือสามารถบอกได้ว่า Ultimate ของแต่ละคนใกล้เต็มหรือพร้อมใช้งานแค่ไหนด้วย เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เชื่อเลยว่าผู้เล่นในเกมภาคก่อนหน้านั้นรอคอยกันมาโดยตลอด
ระบบการปิงในเกมเสริมประสิทธิภาพให้การสื่อสารของผู้เล่นด้วยกัน
สำหรับระบบการสื่อสารแบบใหม่ที่อัปเดตเข้ามาในภาคนี้นั่นก็คือฟีเจอร์ “ระบบปิง” ที่ผู้เล่นสามารถสื่อสารกันได้เพียงคลิกเดียว เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ไม่น้อยแต่ต้องใช้ความเคยชินเป็นอย่างมากในการใช้งาน เพราะเมื่อเวลาเล่นเกมจริงๆ นั้น ด้วยความไวของตัวเกมทำให้เรามักลืมใช้งานฟีเจอร์นี้ไปโดยปริยาย
ปรับตำแหน่งและสกิลของฮีโร่ เพิ่มโหมดใหม่เข้ามาในเกม
Overwatch 2 นอกจากการเปลี่ยนรูปแบบของเกมเพลย์ ตัวเกมยังมีการอัปเดตใหญ่สำหรับฮีโร่หลายๆ ตัวในเกม โดยมีการการปรับและแก้ไขในส่วนต่างๆ มากมาย โดยหลักๆ ที่เห็นได้ชัดมากจะมีตัวละครอย่าง Doomfist ที่ในภาคนี้จะถูกปรับเปลี่ยนตำแหน่งไปเป็น Tank อย่างเต็มตัว มีการเพิ่มพลังชีวิต และเพิ่มสกิลในการดูดซัพดาเมจผ่านถุงมือของเขาได้
และยังมีตัวละครอย่าง Orisa ที่มีการเพิ่มพลังชีวิตและชุดเกราะมากยิ่งขึ้น และมีการปรับเปลี่ยนสกิลแบบใหม่ทำให้เอื้อต่อการรับดาเมจและเป็นตัวชนให้กับเพื่อนร่วมทีมได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนสกิลบางอย่างของตัวละครอื่นๆ เล็กน้อยอาทิเช่น Bastion ที่สามารถแปลงร่างเป็นป้อมปืนและเคลื่อนที่ไปได้ รวมถึง Cassidy ที่มีการเปลี่ยนสกิลระเบิดสตั๊นเป็นระเบิดติดตัวที่สามารถทำดาเมจได้มากขึ้นกว่าเดิมได้นั่นเอง
นอกจากนี้ใน Overwatch 2 ยังมีการเพิ่มโหมดใหม่อย่าง Push ที่จะเป็นการต่อสู้เพื่อร่วมกันทำให้หุ่นยนต์ดันสิ่งของไปยังฝั่งตรงข้ามให้ได้ ซึ่งเป็นอีกโหมดที่ค่อนข้างสนุกและทำได้ดีมาก
โดยสรุปแล้วสำหรับ Overwatch 2 นั้นถือว่าเป็นอนาคตที่ดีสำหรับตัวเกมในอนาคต ถึงแม้ว่าช่วงหลังมานี้กระแสของเกมในภาคแรกจะค่อนข้างลดลงไปมากจากเดิม แต่ครั้งนี้ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่ตัวเกมจะได้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง และเป็นการเชิญชวนผู้เล่นทั้งจากผู้เล่นใหม่ที่ผ่านมาเห็น และผู้เล่นเก่าที่เคยเลิกเล่นไปแล้ว รวมถึงผู้เล่นปัจจุบันที่ยังคงรักในตัวเกมอยู่ได้กลับมารวมกันอีกครั้งในเกมภาคล่าสุดนี้ สำหรับในส่วนของโหมดเนื้อเรื่อง, Co-op PvE รวมไปถึงเกมเพลย์การเล่น การปรับบาลานซ์และสมดุลต่าง ๆ นั้นจะยังคงดึงดูดให้ผู้เล่นทั้งหลายสนใจได้อยู่หรือไม่ คงเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่ทางทีมผู้พัฒนาเกมต้องทำงานกับมันต่อไป แต่สำหรับในส่วนของ PvP Beta ครั้งนี้นั้นก็ถือว่าทำออกมาได้เป็นอย่างดีสมกับที่หลายๆ คนรอคอยและตัวเกมนั้นออกมาค่อนข้างสนุกมากขึ้นกว่าภาคแรกในปัจจุบัน และทางเราหวังว่า Overwatch 2 นั้นจะสามารถพัฒนาให้ตนเองกลับมาอยู่ในจุดที่เคยยืนได้อีกครั้งหนึ่ง
#Blizzard #Overwatch2 #Game #Reviews #BYG #BeyondGodlike