[รีวิว] Record of Ragnarok มหาศึกคนชวนง่วง..ไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวัง!
ในวันนี้หากจะพูดถึงการ์ตูนที่กำลังเป็นกระแส และเป็นที่พูดถึงมากที่สุดเรื่องนึงในบ้านเราก็คงจะไม่พ้นเรื่อง ‘Record of Ragnarok มหาศึกคนชนเทพ’ แอนิเมชั่นเรื่องล่าสุดที่เข้าฉายทาง Netflix เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในวันนี้เราก็จะมาทำการรีวิวให้ทุกคนได้รู้ว่า เหตุใดแอนิเมชั่นเรื่องนี้ถึงเป็นที่พูดถึงและเป็นที่ถกเถียงกันมากในหลากหลายสื่อ โดยขอเกริ่นไว้ก่อนเลยว่า การรีวิวครั้งนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของทางผู้เขียนเอง หากบทความความครั้งนี้ไม่สบอารมณ์ของใคร ทางผู้เขียนก็ขออภัยล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เอาเป็นว่าเราไปดูรีวิวกันดีกว่า
Record of Ragnarok หรือชื่อไทยที่เรารู้จักกันดีว่า มหาศึกคนชนเทพ เป็นการ์ตูนที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของศึกครั้งยิ่งใหญ่ระหว่าง ตัวแทนจากประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ที่จะต้องลงสังเวียนประลองยุทธกับเหล่าเทพในการต่อสู้ตัวต่อต่อ 13 ศึก เพื่อตัดสินชะตาว่า มวลมนุษยชาตินั้นจะได้ดำรงอยู่ต่อไปหรือไม่ เรียกให้เข้าใจง่ายๆ เลยเรื่องนี้นั้นไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่ลึกซึ้งเหมือนการ์ตูนเรื่องอื่นๆ แต่เน้นไปที่การต่อสู้และเรื่องราวของคู่ต่อสู้แต่ละคนบนสังเวียนนั้นๆ เพียงอย่างเดียว โดยแอนิเมชั่นดังกล่าวนี้อ้างอิงมาจากฉบับมังงะที่เขียนเรื่องโดย อาจารย์ อุเมมุระ ชินยะ และอาจารย์ ฟุกุอิ ทากุมิ วาดภาพโดย อาจิจิกะ โดยลิขสิทธิ์ในฉบับภาษาไทยของบ้านเรานั้นตกเป็นของสำนักพิมพ์ Phoenix Next
ด้วยความที่ในฉบับมังงะนั้นได้รับความนิยมสูงมากโดยปัจจุบันได้มียอดตีพิมพ์ไปแล้วทั่วโลกกว่า 6 ล้านชุด อีกทั้งในฉบับมังงะทั้งบทและภาพนั้นก็สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ จึงไม่แปลกที่เมื่อทาง Netflix ได้เริ่มต้นทำแอนิเมชั่นเรื่องนี้จึงเป็นที่พูดถึงมากในหลากหลายสื่อ และเป็นที่คาดหวังของเหล่าแฟนๆ ที่รอคอยฉบับแอนิเมชั่นกันมาโดยตลอด
‘Record of Ragnarok มหาศึกคนชนเทพ’ ได้สตูดิโอแอนิเมชันชื่อดังอย่าง Graphinica เจ้าของผลงาน ‘Juni Taisen: Zodiac War’ และ ‘Hello World’ และมีผลงานแอนิเมะแนวต่อสู้ที่เข้าทางกับศึกคนชนเทพ ไม่ว่าจะเป็น ‘Blade of the Immortal’ ‘Promare’ หรือ ‘Girls und Panzer’ แต่ด้วยความที่ Record of Ragnarok นั้นมาในรูปแบบของ Netflix originals ที่ว่ากันตรงๆ แล้วค่อนข้างลุ้น และไม่สามารถรับประกันคุณภาพงานได้อย่างที่หวัง ซึ่งเรานั้นก็ได้เห็นจากหลากหลายผลงานที่แม้ว่าจะได้สตูดิโอมีชื่อมาก็ตกม้าตายมาแล้วก็ไม่ใช่น้อย และสำหรับเรื่องนี้ก็เช่นกัน…
การควบคุมบทที่ไม่ดี ส่งผลร้ายต่อความสนุกโดยรวม
หากเป็นคนที่เคยอ่านฉบับมังงะมาก่อนจะทราบดีว่าเรื่องนี้นั้น มีบทที่ค่อนข้างธรรมดาและไม่ได้มีความลึกซึ้งในเรื่องราวของความสัมพันธ์ตัวละคร หรือเรื่องราวที่มีความเข้นข้นใดๆ แต่ความสนุกของเรื่องนี้นั้นเกิดจากฉากการต่อสู้อันดุเดือด และเรื่องราวเบื้องหลังของเหล่านักสู้ที่ขึ้นมาประชันกันบนสังเวียน ซึ่งข้อเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้หลายๆ คนมองว่าฉบับแอนิเมชั่นนั้นทำได้ไม่ดีเลยนั้นเป็นเพราะ ในฉบับแอนิเมชั่นนี้นั้นได้มุ่งเน้นไปยังตัวละครอาทิเช่น ฉากย้อนอดีตของตัวละครซึ่งเอาจริงๆ ถือว่าทำได้เป็นอย่างดี แต่กับลืมความสนุกอีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันอย่างฉากการต่อสู้ที่ทำออกมาได้ดูบางเบาเกินไป และดูจืดชืด หลายๆ ฉากสำคัญที่ทางฉบับมังงะทำได้อย่างดี และหากมาทำเป็นแอนิเมชั่นนั้นคงยอดเยี่ยม กลับทำเป็นฉากเรียบๆ หรือบางครั้งตัดเป็นภาพนิ่งๆ มาใส่แทน จนมีแฟนๆ หลายคนตัดไปล้อเลียนกัน ซึ่งหลายๆฉากนั้นเองที่ทำให้แอนิเมชั่นเรื่องนี้ดูน่าเบื่อและยืดยาวเหตุเพราะการแบ่งสัดส่วนเรื่องราวที่ล้มเหลวและไม่เอาใจคอการ์ตูนต่อสู้นั่นเอง ซึ่งนี่ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อความสนุกโดยรวมของเรื่องนี้
งานภาพที่เหมือนจะดีแต่ก็ไม่สุด
ในเรื่องของงานภาพที่เรื่องนี้เอาจริงๆ ก็ถือว่าทำได้ตามมาตรฐานที่แอนิเมชั่นควรจะเป็น แต่ก็มีบางจุดที่เมื่อเราได้รับชมแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นงานเผา อย่างสัดส่วนตัวละคร หรือหน้าตาตัวละครในบางฉากนั้นทำได้ไม่ค่อยดีอย่างที่ควรจะเป็น แต่ก็มีบางช่วงที่อยู่ดีๆ ตัวแอนิเมชั่นก็สามารถทำภาพได้ออกมาอย่างดีแตกต่างจากที่ดูมาก่อนหน้านี้ ซึ่งในบางครั้งทำให้คนดูรู้สึกสับสนไม่น้อยเลยทีเดียว
งานพากษ์และเสียงประกอบที่ยอดเยี่ยมช่วยแบกเรื่องราวต่างๆไว้เป็นอย่างดี
อีกสิ่งที่ช่วยให้เราสามารถสนุกกับเรื่องนี้และสามารถดูได้จนจบในแต่ละตอนก็คงจะไม่พ้นการพากษ์เสียงและเสียงประกอบแอนิเมชั่นที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ อย่างเสียงประกอบและเพลงที่ใช้ในแอนิเมชั่นหลายๆ ฉากนั้นทำออกมาได้เข้ากับบรรยากาศเรื่องราวที่เกิดขึ้น และที่น่าชื่นชมที่สุดของเรื่องนี้อย่างเสียงพากษ์ตัวละครในภาษาญี่ปุ่นต้นฉบับก็สามารถทำให้เข้ากับคาแรคเตอร์ตัวละครและช่วยเพิ่มความสนุกของเรื่องราวขึ้นมา นอกจากนี้เสียงพากษ์ในฉบับภาษาไทยก็สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติไม่แพ้กับเสียงต้นฉบับเลย
สรุปโดยรวม
Record of Ragnarok มหาศึกคนชนเทพ นั้นเป็นแอนิเมชั่นที่ทำออกมาได้ตามมาตรฐานแต่ขาดการขัดเกลาที่ดีพอ ด้วยความที่เรื่องราวของเรื่องนั้นไม่ได้มีอะไรมาก มีเพียงการต่อสู้กันไปเสมือนผู้ชมได้ดูการชกมวยบนสังเวียนเป็นคู่ๆ ดังนั้นสิ่งที่เป็นจุดเด่นและความสนุกของเรื่องหากไม่สามารถดึงจุดนี้ออกมาเฉิดฉาดได้ แอนิเมชั่นเรื่องนี้คงเป็นแอนิเมชั่นธรรมดาที่ดูพอเอาสนุกได้เป็นครั้งคราวไป ซึ่งในครั้งนี้มันก็เป็นเช่นนั้น และทำให้แฟนๆหลายคนมองว่าในฉบับมังงะนั้นทำได้สนุกกว่าแอนิเมชัน ซึ่งมันก็มีเหตุผลของมันอยู่ เพราะมังงะนั้นผู้อ่านสามารถควบคุมความไวของการอ่าน ตอนไหนที่ฉากอลังการเราก็ค้างดูนาน ช่วงไหนสนุกสุดมันเราก็อาจเปิดอ่านตามความไวของอารมณ์ ช่วงไหนที่แลดูน่าเบื่อเราก็สามารถอาจผ่าน ๆ และส่วนไหนที่มีรายละเอียดมากหรืออยากคิดไตร่ตรองเราก็สามารถหยุดอ่านที่หน้านั้น ๆ ได้ ซึ่งหากมองในมุมของแอนิเมชั่นคนที่สำคัญที่สุดก็คงจะไม่พ้น เหล่าแอนิเมเตอร์ ว่าเขานั้นจะสามารถแก้โจทย์ที่ควรจะเป็นและเก่งพอที่จะทำให้ผู้ชมได้รู้สึกสนุกได้เหมือนหรือมากกว่าตอนอ่านมังงะได้หรือไม่ ซึ่งหากทำได้ก็เชื่อได้เลยว่าแอนิเมชั่นเรื่องนี้ก็คงออกมายอดเยี่ยมและไปได้ไกลเหมือนที่หลายๆ เรื่องในยุคปัจจุบันเป็นกัน เราก็มาคอยเอาใจช่วยกันว่า ในภาคต่อไปของ Record of Ragnarok นั้นทางสตูดิโอนั้นจะตระหนักถึงความสำคัญนี้และทำผลงานเพื่อเหล่าแฟนๆ ที่รอคอยได้ดีขนาดไหน ทางเราก็ขอเอาใจช่วยต่อไปครับ
สำหรับชาว BeyondGodlike ที่อยากรับชม Record of Ragnarok มหาศึกคนชนเทพ ก็สามารถรับชมได้แล้วตอนนี้ที่ Netflix โดยในซีซั่นที่ 1 นี้จะมีทั้งสิ้น 12 ตอน ซึ่งถือว่าดูเอาสนุกได้อยู่ครับ และหากใครที่อยากรับชมความสนุกที่แท้จริงทางเราอยากแนะนำให้อ่านในฉบับมังงะซึ่งปัจจุบันฉบับภาษาไทยมีออกมาถึง 9 เล่มแล้วด้วยกัน โดยเป็นลิขสิทธิ์ของทางสำนักพิมพ์ Phoenix Next ใครสนใจก็สามารถไปอุดหนุนกันได้เลยครับ
#Netflix #RecordofRagnarok #Anime #Review #BYG #BeyondGodlike